หน้าแรก     บทความ     Marketing     Google Ads Extensions คืออะไร ทำไมบางทีก็ไม่แสดงผล มาหาคำตอบ + วิธีแก้ไขพร้อม ๆ กัน

Google Ads Extensions คืออะไร ทำไมบางทีก็ไม่แสดงผล มาหาคำตอบ + วิธีแก้ไขพร้อม ๆ กัน
Marketing

Google Ads Extensions คืออะไร ทำไมบางทีก็ไม่แสดงผล มาหาคำตอบ + วิธีแก้ไขพร้อม ๆ กัน

3 ปี ที่แล้ว

การลงโฆษณา Adwords เป็นบริการของ Google ซึ่งเป็น Search Engine อันดับหนึ่งของโลก ซึ่งให้บริการโฆษณาโดยคิดค่าบริการเป็นต่อคลิก หมายความว่า Google จะคิดค่าบริการก็ต่อเมื่อมีคนคลิกที่โฆษณานั้น โดยในการลงโฆษณา Adwords นั้นก็มีหลายวิธีที่น่าสนใจ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ การใส่ Google Adwords Extensions ซึ่งการทำแคมเปญโฆษณาแบบ Search Ads บน Google โดยมีการใส่ส่วนขยายใน Google Ads ลงไป บางครั้งก็อาจจะเกิดปัญหาขึ้นได้ ยกตัวอย่างเช่นที่หลาย ๆ ท่านพบเจอคือ ไม่พบส่วนขยายในการลงโฆษณานั่นเอง


เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ได้ลองตรวจสอบตามที่ผมอธิบายไปดูรึยังเอ่ย หากทำตามเรียบร้อยหมดแล้ว ก็มั่นใจได้เลยว่าระบบจะแสดงโฆษณาอย่างถูกต้อง  นอกจากนี้ระบบจะแสดงข้อมูลบนโฆษณาของเรามากและมีประสิทธิภาพด้วย ส่งผลให้มีคนเข้ามาคลิกที่โฆษณาเพิ่มขึ้น


 ดังนั้นหากต้องการที่จะป้องกันการเกิดปัญหาส่วนขยาย Google Adwords Extensions คืออะไร ทำไมไม่แสดงผลอีก อีกก็อย่าลืมตรวจสอบเรื่องต่าง ที่ผมได้แนะนำไปทั้งหมดนี้ เพียงเท่านี้ก็สามารถทำแคมเปญโฆษณา เพื่อมุ่งเน้นไปที่ลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุดพร้อมให้ข้อมูลอย่างครบถ้วนครับ

วันนี้ผมจะมาอธิบายการกันนะครับว่า Google Ads Extensions คืออะไร มีความสำคัญอย่างไร และมีกี่ประเภทเหมาะกับธุรกิจไหนบ้าง รวมทั้งเคล็ดลับต่าง ๆ ที่จะทำให้การทำแคมเปญโฆษณามีคุณภาพและแก้ไขปัญหาการมองไม่เห็นส่วนขยายใน Google Ads ด้วยครับ ไปติดตามกันเลย

Google Ad Extensions คืออะไร   


คือ ส่วนขยายหรือข้อมูลเพิ่มเติม ที่มาจากตัวโฆษณาที่เราสร้างขึ้นครับ โดยประโยชน์ของส่วนขยายใน Google Ads จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้งานที่จะเข้ามาคลิ๊กชมบนโฆษณาของเราให้สูงขึ้น (CTR) นอกจากนี้ยังทำให้พื้นที่โฆษณาของเราเพิ่มขึ้น และโดนเด่นกว่าโฆษนาอื่น ๆ ที่ไม่มีการใส่ส่วนขยายครับ ซึ่งถ้าหาก CTR เพิ่มมากขึ้น คะแนนของคุณภาพโฆษณาก็จะสูงขึ้นไปด้วย ส่งผลให้ค่าโฆษณา CPC ลดราคาลงครับ

CTR คือ อะไร CPC คืออะไร


CTR คือ จำนวนคลิกที่โฆษณาได้รับหารด้วยจำนวนครั้งที่โฆษณาปรากฏครับ หรือก็คือ คลิก ÷ การแสดงผล = CTR เช่น หากคุณได้รับคลิก 5 ครั้งและมีการแสดงผล 100 ครั้ง CTR จะเท่ากับ 5% 

CTR ที่สูงเป็นตัวบอกบ่งชี้ที่ดีว่าผู้ใช้เห็นว่าโฆษณามีประโยชน์และเกี่ยวข้อง นอกจากนี้ CTR ยังมีผลต่อ CTR ที่คาดหวังของ Keyword ซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งของลำดับโฆษณาอีกด้วย ซึ่ง CTR ที่ดีนั้นต้องสัมพันธ์กับสิ่งที่โฆษณาและเครือข่ายที่แสดงผลโฆษณาครับ

ซึ่งสามารถใช้ CTR ในการวัดผลได้ว่าโฆษณาและคำหลักใดประสบความสำเร็จ และรายการใดต้องปรับปรุง ยิ่ง Keyword และโฆษณาเกี่ยวข้องกันและเกี่ยวข้องกับธุรกิจมากเท่าใด ผู้ใช้ก็ยิ่งมีโอกาสคลิกโฆษณาหลังจากที่ค้นหา keyword ของเรามากขึ้นเท่านั้น 

ส่วน CPC ย่อมาจากคำว่า Cost Per Click (ต้นทุนต่อการคลิก) หมายความว่า ถ้ามีการคลิกที่ป้ายโฆษณานั้น ๆ จะเสียเงินในราคาที่กำหนดไว้ เช่น 2 บาท ต่อคลิก หรือ 10 บาท ต่อคลิกเป็นต้นครับ 

ประโยชน์ของ Google Adwords Extension


ช่วยในเรื่องของการเพิ่มอัตราการคลิกให้สูงขึ้น (CTR, Click-through rate) เพราะจะทำให้เราสามารถเพิ่มโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์สินค้าและบริการเข้าไปได้อีก การทำแบบนี้จะทำให้โฆษณาโดดเด่น และขยายความคำโฆษณาให้เจาะลึกมากขึ้น 

ประเภทของ Google Ads Extension แบ่งได้ 2 หมวดหมู่ใหญ่ ๆ คือ 


  • ส่วนขยายพื้นฐาน
  • ส่วนขยายแบบอื่น ๆ 

แบบที่ 1 แบ่งตามส่วนขยายพื้นฐาน 

1. Sitelinks Extensions คือ การใส่ URL เพื่อ Link ไปยัง Landing Page หรือหน้าเว็บไซต์ ที่ต้องการเพิ่มลงไปจากหน้าหลักที่มีอยู่แล้ว เช่น อาจจะเป็นหน้าสำหรับลงทะเบียนเพื่อรับโปรโมชั่น หรือจองสิทธิ์ต่างๆ เป็นต้นครับ 

2. Call Extensions คือ การเพิ่มเบอร์โทรศัพท์เพื่อให้ผู้ใช้ที่สนใจจะติดต่อหาบริษัทโดยตรง ซึ่งหากดูโฆษณาบนโทรศัพท์มือถือ ก็จะสามารถกดโทรออกได้ทันที เหมาะมากเลยครับกับธุรกิจทีต้องมีการจอง เช่น โรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร ฯลฯ นอกจากนี้คือ หากธุรกิจมีหลายสาขา ก็สามารถกำหนดเบอร์ให้แต่ละสาขาได้

3. Location Extensions คือ ส่วนขยายที่ใช้สำหรับบอกตำแหน่งของสถานที่ เหมาะกับธุรกิจที่มีหน้าร้านครับ เช่น บริษัทที่มีสำนักงาน หรือร้านอาหาร ร้านขายผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพราะเมื่อคลิกเข้าไปแล้ว ระบบจะทำงานร่วมกับ Google Map ทันที ซึ่งแปลว่าหากลูกค้าต้องการจะเดินทางไปยังร้านหรือบริษัท ก็สามารถกำหนดเส้นทางได้ในทันทีโดยไม่ต้องมานั่งเปิดแผนที่ให้วุ่นวาย


แต่การใช้ส่วนขยายประเภทนี้จะต้องทำการปักหมุดตำแหน่งบน Google My Business ก่อนนะครับ ถึงจะมีสิทธิในการโฆษณาตำแหน่งที่ตั้งนั้นได้ นอกจากนี้ยังเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับร้านที่ทำโฆษณาด้วย 

แบบที่ 2  แบ่งตามส่วนขยายอื่น ๆ 


  1. Callout Text คือ การเพิ่มส่วนขยายเพื่อเน้นคำโฆษณาที่ต้องการเพิ่มเข้าไป โดยจะมีจุด . เป็นตัวขั้นระหว่างแต่ละคำที่ใส่ลงไปด้วย เหมาะกับธุรกิจที่เป็นร้านค้าขายสินค้า หรือบริษัทส่งออก โดยคำที่ใช้เน้น เช่น ส่งฟรี ช้อปได้ 24 ชั่วโมง ช้อปก่อนคุ้มกว่า เป็นต้นครับ 

2. Structured Snippets Extensions คือ การจจัดหมวดหมู่ แบ่งประเภทของสินค้า บริการ เพื่อเป็นการบอกให้ลูกค้าหรือผู้ใช้งานที่เห็นโฆษณา รู้จักธุรกิจ และรู้ว่าธุรกิจมีบริการ มีสินค้าอะไรบ้าง เหมาะกับธุรกิจที่มีการทำแคมเปญ Search Network with Display Select และ Search Network only ครับ

 

3. Message Extensions คือ การเพิ่มช่องทางให้ลูกค้าสามารถส่งข้อความหาเราได้ทันที แต่ส่วนขยายนี้ยังไม่สามารถใช้ได้ในประเทศไทยนะครับ

4. Affiliate Location Extensions คือ ส่วนขยายที่บอกตำแหน่งที่ตั้งเช่นกับ Location Extensions แต่ส่วนขยายนี้จะเหมาะสำหรับร้านค้าที่มีหลายสาขา เพราะระบบจะแสดงสาขาที่ใกล้ตัวผู้ค้นหามากที่สุดแทน

 

5. Price Extensions คือ ส่วนขยายที่ใช้สำหรับการบอกราคาสินค้า บริการ เหมาะสำหรับธุกิจ E-Commerce นอกจากนี้ยังสามารถใช้ส่วนขยายนี้ เมื่อมีการทำโปรโมชั่นสินค้า

6. App Extensions คือ ส่วนขยายที่สามารถเพิ่มเข้าไปเพื่อแนะนำให้ผู้ใช้งาน เข้าไปโหลดแอปพลิเคชันและติดตั้งได้ เหมาะอย่างยิ่งกับธุรกิจที่มีแอปพลิเคชันเป็นของตัวเอง

 

7. Review Extensions คือ การนำรีวิวจากผู้ใช้งานจริงมาแสดงผลบนส่วนขยาย Google Ads ตัวนี้  แต่ส่วนขยายนี้ยังไม่สามารถใช้ได้ในประเทศไทยนะครับ

ปัญหา Google Ads Extensions ไม่แสดงผล คืออะไร 


การทำส่วนขยาย Google Ads Extensions ที่ใส่ในโฆษนาค้นหานั้น บางครั้งก็อาจแสดงผลหรือไม่แสดงผลให้ก็ได้ครับ ซึ่งเป็นเพราะระบบจะเลือกอัตโนมัติเองว่าจะแสดงผลโฆษณาให้ใครคนใดคนหนึ่งเห็น โดยขึ้นอยู่กับสถานการณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ลำดับของโฆษณา คุณภาพของโฆษรา ไปจนถึงพื้นที่ของระบบนั้น ๆ ว่าสามารถแสดงส่วนขยายต่าง ๆ ได้หรือไม่ นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดอื่น ๆ อีก ที่อาจส่งผลให้ทาง Google Ads Extensions ไม่แสดงผล ลองไปดูกันเลยครับว่าธุรกิจของเราเป็นหรือไม่


1. ลำดับของการโฆษณา (Ad Rank)

Keyword หลักในโฆษณา , คะแนนคุณภาพ , คุณภาพของโฆษณา , การเข้าถึง Landing Page และประสิทธิภาพของโฆษณา ทั้งหมดนี้ส่งผลกระทบต่อการแสดงผลโฆษณานะครับ รวมถึงส่วนขยายใน Google Ads Extensions ด้วยครับ

 วิธีแก้ไข ก็คือ เพิ่มคุณภาพให้กับโฆษณาและปรับปรุงในส่วนของ Keywor dเพื่อให้ลำดับโฆษณาดีขึ้น เพราะส่วนขยายบางตัวจะแสดงให้เห็นเฉพาะโฆษณาที่ได้อันดับสูง ๆ เท่านั้น และการแก้ไขปัญหาเหล่านี้จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้งานเห็นโฆษณาที่แสดงส่วนขยายของเราครับ

 

2. ส่วนขยายตรงตามนโยบายของ Google หรือไม่

ในการใช้ส่วนขยายต่าง ๆ ทาง Google จะมีนโยบายจำกัดที่ต้องปฏิบัติตาม ลองมาตรวจสอบส่วนขยายของเรานะครับ ว่ามีข้อใดบ้างที่ต้องแก้ไข เพราะหากไม่ได้ตรวจสอบก่อน ก็จะเป็นปัจจัยให้ส่วนขาย Google Ads Extensionss มองไม่เห็นได้ครับ

  • Call Extensions

หากเบอร์โทรศัพท์ที่ใช้ในส่วนขยาย Call Extensions ไม่ผ่านการยืนยัน (Verified) จะทำให้ไม่ผ่านการอนุมัติครับ ดังนั้นควรตรวจสอบว่าได้ทำการยืนยันเบอร์โทรศัพท์ในระบบแล้ว

 

  • Sitelink Extensions

Sitelink จะต้องไม่ถูกปฏิเสธ จากการผิดกฎต่างๆ ของ Google โดยต้องมีการเพิ่มอย่างน้อย 2 Sitelink Extensions สำหรับให้ผู้ใช้งานที่เห็นโฆษณาได้มีทางเลือกในการติดต่อครับ

 

  • Location Extensions

ตรวจสอบว่าบัญชีโฆษณาเชื่อมต่ออยู่กับ Google My Business ครับ นอกจากนี้จะต้องไม่ตั้งค่าตัวกรอง (Filter) ผิด ดังนั้นตรวจสอบดูว่าชื่อธุรกิจที่ใส่ตอนตั้งค่า เหมือนกับชื่อที่อยู่ใน Google My Business รวมถึงที่อยู่ก็ต้องตรวจสอบให้ตรงกับที่อยู่ใน Google My Business หากผ่านไป 24 ชั่วโมงแล้วตำแหน่งที่ตั้งยังไม่ได้เชื่อมต่อกับบัญชีโฆษณา อาจต้องทำการติดต่อสอบถามกับทาง Google อีกครั้งครับ สุดท้ายนี้ต้องยืนยันตำแหน่งที่ตั้งบน Google My Business แล้ว ตรวจสอบด้วยว่า Local Adress ที่ผ่านการอนุมัติอยู่บน Local Page ไม่ใช่ Brand Page ครับ 

 

  • Callout Extensions

Calloutจะต้องไม่ถูกปฏิเสธ จากการผิดกฎต่างๆ ของ Google โดยต้องมีการเพิ่มอย่างน้อย 2 Callout Extensions สำหรับให้ผู้ใช้งานที่เห็นโฆษณาได้มีทางเลือกในการติดต่อครับ

 

3. Target Keyword มีการแข่งขันสูง

หากตรวจสอบตามสองหัวข้อข้างบนแล้ว โฆษณายังไม่แสดง อีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องมาดูก็คือ Target Keyword 

หากคำ Keyword ที่เลือกมีการแข่งขันที่สูงมาก Google ก็อาจเลือกแสดงผลเป็นบางครั้ง หรืออาจจะไม่แสดงผลเลย ก็ได้ครับ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการใช้ Keyword ยอดนิยมก็จะช่วยแก้ไขในเรื่องนี้ได้ครับ