หลายคนมองว่าวงการ Online marketing ตอนนี้อยู่ในขั้น Red ocean ทะเลแดงเดือด การแข่งขันรุนแรงน่ากลัว แต่ถ้ามองให้ลึก ๆ แล้ว เอาเข้าจริง การแข่งขันจริง ๆ ไม่ใช่การแข่งกับแบรนด์อื่น แต่ต้อง แข่งขันกับตัวเองมากกว่า และ ทำอย่างไรลูกค้าถึงสนใจสินค้าแบรนด์เรากันนะ ดังนั้นวันนี้เราจะมากระซิบบอกเทคนิค 6 วิธีที่จะช่วยให้การวางแผนทำ Online marketing ของคุณมีมุมมองที่ชัดเจนมากขึ้นและช่วยให้คนแปลกหน้าบนโลกออนไลน์ได้กลายเป็นลูกค้าประจำของคุณแน่นอน ไปดูกันเลยครับ !
การที่จะสร้างให้แบรนด์ของเราเป็นที่รู้จักมากขึ้นในโลกออนไลน์ สามารถทำได้ไม่ยากซึ่งถือเป็นข้อดีอย่างหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม คือ การสร้าง Awareness หรือที่เรียกว่า
การ ‘สร้างการรับรู้ ’ นั้น เริ่มต้นได้ด้วยงบประมาณที่ไม่จำเป็นต้องสูงมาก แถมยังสามารถวัดผลลัพธ์ได้สะดวกรวดเร็วอีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีข้อเสียอยู่บ้างเล็กน้อย นั่นก็คือ สื่อต่าง ๆ ต่างก็แย่งชิงพื้นที่บน Social Media กันอย่างดุเดือด เพื่อให้เป็นที่รู้จักให้ได้มากที่สุด ดังนั้น ถ้าแบรนด์ของเรายังเป็นแบรนด์ใหม่อยู่ แนะนำว่าเริ่มสร้าง Awareness ให้ถูกทางดีกว่านะครับ ไม่อย่างงั้นเราแบรนด์ของเราอาจไม่มีตัวตนบนโลกออนไลน์ก็ได้
ดังนั้น วิธีที่สำคัญของการเริ่มสร้าง Awareness ก็คือการทำให้กลุ่มเป้าหมายเข้าใจก่อนว่า ทำไมพวกเขาจึงเหมาะสมกับสินค้า/บริการของแบรนด์คุณ !
การสร้าง Awareness หรือ ‘การรับรู้’ บน Online Marketing มีด้วยกัน 2 แบบ
การใช้ Inbound Marketing บอกก่อนว่าวิธีนี้เริ่มแพร่หลายในประเทศไทยมากขึ้นนะครับ โดย Inbound marketing ก็ คือ การดึงดูดให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามาหาแบรนด์ของคุณผ่านทาง Social Media นั่นเอง โดยการใช้ Content Marketing จุดเด่นของวิธีนี้ คือ เป็นการใช้ช่องทางที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เลย
โดย Content marketing มีอะไรบ้าง ลองไปดูกันครับ
- การทำ SEO (Search Engine Optimization) บน Google
- การใช้สื่อ Social Media Platform ต่าง ๆ
- การใช้ Email Marketing
- การตลาดแบบปากต่อปาก เช่น การรีวิว
- การสื่อสารผ่านเว็บบอร์ด อย่าง pantip
การใช้ Outbound marketing คือ การใช้การโฆษณาบน Social Media Platform ต่าง ๆ เข้ามาช่วย ไม่ว่าจะเป็น
- Facebook Ads
- LINE Broadcast
- Google Text/Image Ads
- Youtube Video Ads
- Instagram Ads
ซึ่งข้อดีก็คือ สามารถกำหนดงบประมาณขึ้นต่ำได้ ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ง่ายแถมยังสามารถวัดผลได้รวดเร็วและสะดวกสบายอีกด้วย
ส่วน 2 ข้อนี้แตกต่างกันอย่างไรสามารถอ่านได้ที่ บทความนี้ เลยครับ
หลังจากที่แบรนด์ของคุณเริ่มสร้าง Awareness แล้ว ขั้นต่อมา คือ การเริ่มสร้าง Content ที่จะบอกเล่าข้อมูลของแบรนด์ รวมถึงสินค้า/บริการ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายจดจำและรู้จักมากขึ้น โดยกลุ่มเป้าหมายจะเริ่มเห็น Content จากทาง Social Media ก่อนซึ่งมีโอกาสที่กลุ่มเป้าหมายจะต่อยอดเพื่อไปค้นหาเพิ่มเติมทาง Google และนำพาไปยังเว็บไซต์ของแบรนด์เราได้ ดังนั้น การทำให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับหน้าแรกของ Google ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กันเลย !
เห็นไหมครับว่า Content ที่เราสร้างจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก คุณจะต้องวางแผนให้ Content มีมากกว่าแค่การขายสินค้า/บริการ แต่ต้องพูดรวมไปถึงการให้ข้อมูลต่าง ๆ ที่ให้ประโยชน์กับกลุ่มเป้าหมายด้วยนะครับ
การสร้าง Content ในเทคนิคนี้ คือการทำให้กลุ่มเป้าหมายของเรา รับรู้ข้อมูลที่ตอบโจทย์และสนองความต้องการของตัวกลุ่มเป้าหมายเอง ยกตัวอย่าง เช่น สินค้าของแบรนด์เราสามารถช่วยแก้ปัญหาได้นะ บริการของแบรนด์เราเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณนะ เป็นต้น และเมื่อกลุ่มเป้าหมายได้รับรู้ถึง Content เหล่านี้แล้ว พวกเขาจะเกิดการพิจารณาหรือเกิดการคิดติดสินใจในหัว บางทีก็อาจจะหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแบรนด์ของคุณผ่านทางเว็บไซต์ การรีวิวต่าง ๆ แต่อย่าลืมเด็ดขาด ! ว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณก็ยังรับรู้ Content และเว็บไซต์ของคู่แข่งได้อีกด้วยนะ
ดังนั้น คุณจะต้องสร้าง Content ให้แตกต่างและชัดเจนมากขึ้น จึงจะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายเห็นภาพว่าแบรนด์ของคุณตอบโจทย์ได้ดีอย่างไร กลุ่มเป้าหมายบางคนอาจนำแต่ละแบรนด์ไปเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ต้องกลัวไป ขอให้คุณมั่นใจใน Content และรูปแบบการนำเสนอของคุณ ! ผมขอกระซิบดัง ๆ ว่า เทคนิคการสร้าง Content แบบ How to นั้นช่วยให้ความรู้ รายละเอียดและบอกเล่าวิธีการใช้งานของสินค้า/บริการ ให้กลุ่มเป้าหมายได้เห็นภาพแบรนด์มากขึ้นได้ดีเชียวละ ลองไปปรับใช้กับแบรนด์ของคุณดูนะครับ
หลังจากที่กลุ่มเป้าหมายของเราเริ่มรับรู้ถึง Content ของแบรนด์เราแล้ว สิ่งที่สำคัญต่อมา คือ การมัดใจกลุ่มเป้าหมายให้เลือกแบรนด์เรา ไปจนถึงตัดสินใจซื้อสินค้า/บริการ โดยสิ่งที่คุณจะต้องทำนั่นก็คือ สร้าง Content ที่เจาะจงถึงจุดเด่นหรือเอกลักษณ์ที่มีเฉพาะแบรนด์ของคุณเท่านั้น เช่น แบรนด์สบู่ยี่ห้อ A มีจุดเด่นที่กลิ่นหอมที่สามารถปรับเข้ากับอุณหภูมิได้ เป็นต้น
ดังนั้นกลุ่มเป้าหมายเมื่อกลุ่มเป้าหมายเริ่มจะกลายเป็นลูกค้าของแบรนด์คุณแล้ว คุณต้องโน้มน้าวอีกนิด เพิ่มความมั่นใจอีกหน่อย กระตุ้นความต้องการซื้อให้ถูกใจ แค่นี้กลุ่มเป้าหมายก็พร้อมควักเงินซื้อสินค้า/บริการของคุณทันที เช่นใช้การเสนอโปรโมชั่นหรือเพิ่มของแถมให้เมื่อซื้อสินค้าครบกำหนด เป็นต้น
แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับการได้เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายให้กลายเป็นลูกค้าแล้ว นั่นคือการทำ Social Proof หรือ Testimonials พูดง่าย ๆ ก็คือการให้ลูกค้ารีวิวสินค้า/บริการของคุณนั้นเอง ถือเป็นการบอกต่อที่ช่วยให้แบรนด์ของคุณน่าเชื่อถือมากขึ้น และเป็นการแสดงสินค้า/บริการให้มุมมองที่เห็นภาพขึ้น (อย่าลืมป้องความเป็นส่วนตัวของบุคคลที่มารีวิวด้วยละ ปิดชื่อให้เรียบร้อยนะครับ)
ถึงแม้ว่าลูกค้าจะได้ซื้อสินค้า/บริการ ของแบรนด์เราแล้วนั้น คุณก็ควรจะติดต่อและดูแลเอาใจใส่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง คงจะดีกว่าใช่ไหมล่ะครับ ถ้าลูกค้าเรานั้นกลับมาซื้อสินค้า/บริการ ของเราเรื่อย ๆ จนถึงขั้นภักดีต่อแบรนด์ Brand Royalty)
ดังนั้น คุณจึงควรสร้าง Content สำหรับลูกค้าที่เคยอุดหนุนโดยเฉพาะให้พวกเขารับรู้ เช่น การรับประกันสินค้าภายใน 7 วัน การเสริมข้อมูลของสินค้า/บริการตัวอื่นๆ การติดตามผลหลังการใช้สินค้า รวมไปถึงการขอรีวิวจากทางลูกค้าอีกด้วย
เราลองมาดูมูลค่าที่ลูกค้าซื้อสินค้า/บริการของเรา ตลอดช่วงชีวิตกันดีกว่า แบรนด์ของเราจะได้กำไรเฉลี่ยอย่างไรบ้าง
Customer Lifetime Value (CLV) = ระยะเวลาที่ลูกค้าใช้บริการ (ปี) x (จำนวนสัปดาห์ใน 1 ปี x มูลค่าเฉลี่ยของลูกค้า x กำไรเฉลี่ยของลูกค้า)
ยกตัวอย่าง หากสินค้าของคุณคือ ครีมบำรุงผิว ราคา 100 บาท โดยคาดว่าลูกค้าจะยังคงเลือกใช้สินค้าของเราเป็นเวลา 10 ปี มูลค่าเฉลี่ยของลูกค้าที่จับจ่ายใช้สอยในแต่ละสัปดาห์ คือ 100 บาท โดยกำไรเฉลี่ยของลูกค้าอยู่ที่ 20% ดังนั้น
Customer Lifetime Value (CLV) = 10 x (52 x 100 x 0.20) = 10,400 บาท
เมื่อรู้ตัวเลขของ Customer Lifetime Value ที่ลูกค้าคนหนึ่ง ๆ จะสร้างกำไรให้กับแบรนด์เราได้ งบประมาณสำหรับใช้ในการรักษาฐานลูกค้า ก็ไม่ควรจะเกินตัวเลขนี้ เพราะหากมีค่าใช้จ่ายใน Online Marketing ส่วนนี้ที่สูงกว่าที่คำนวณเอาไว้อาจมีโอกาสขาดทุนได้นะครับ
จริง ๆ แล้วแม้ว่าเราจะทำ Online Marketing เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายกลายมาเป็นลูกค้าของเราแล้ว การรักษากลุ่มลูกค้าที่ซื้อสินค้าเราแล้ว ก็สำคัญมากไม่แพ้กัน
เพราะกลุ่มลูกค้าเดิมนี่แหล่ะ ! ที่รู้จักสินค้าเรา รักสินค้าเรา เคยใช้สินค้า เพราะฉะนั้นโอกาสที่พวกเขาเหล่านี้จะกลับมาซื้อสินค้า/บริการของเราซ้ำนั้น ก็มีไม่น้อยเช่นกัน
ดังนั้นคุณจึงต้องออกแบบ Content Marketing ที่ใช้เป็นโอกาสเพิ่มยอดขายจากกลุ่มลูกค้าเดิม เช่น นำสินค้าเดิมกลับมาเป็นส่วนลดในการซื้อสินค้าใหม่ หรือจะมีคูปองพิเศษรวมทั้งบัตรสะสมแต้มเพื่อแลกของเมื่อครบจำนวนก็ทำได้ เป็นต้น แม้แต่การจัดกิจกรรมอีเวนท์ต่าง ๆ ก็ช่วยมัดใจฐานลูกค้าเดิมก็ถือสิ่งน่าสนใจไม่แพ้กันนะครับ
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กับ 6 เทคนิคขั้นเทพ บางท่านที่ยังเป็นมือใหม่ในด้าน Online Marketing ไม่ต้องงงนะครับ ผมจะลองยกตัวอย่างง่าย ๆ ที่ใช้ 6 เทคนิคที่กล่าวมาทั้งหมดให้ดูกันนะครับ เริ่มกันเลย ...
แบรนด์ของผมเป็นแบรนด์ใหม่ ขายรองเท้าสำหรับกลุ่มวัยรุ่น เน้นความนุ่มสบายและรูปแบบที่ทันสมัย
เป็นอย่างไรบ้างครับ พอจะเห็นภาพขึ้นรึเปล่า ลองเริ่มต้นที่แบรนด์ของคุณดูซิครับ
แล้วจะรู้เลยว่า การทำ Online Marketing ไม่ใช่เรื่องยาก แล้วอย่าลืมลงโฆษณาและติดตามผลด้วยนะครับ
ทั้งหมดนี้คือ 6 เทคนิคขั้นเทพ ที่ช่วยให้คนแปลกหน้ากลายมาเป็นลูกค้าประจำของคุณ
โดยหากดูจากสถิติของการใช้งบประมาณในการทำการตลาดแล้วจะพบว่า ต้นทุนในการหาลูกค้าใหม่นั้น สูงกว่าลูกค้าเดิมถึง 6 เท่า เป็นอย่างน้อย ดังนั้น หากแบรนด์ของคุณ มีการจัดทำวางแผนกลยุทธ์ด้าน Content Marketing ที่เหมาะสมกับทุกขั้นตอน ก็จะทำให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างมั่นคงและมียอดขายที่แข็งแรงได้ไม่ยาก
บทความแนะนำ
Copyright © 2025 NB Digital Team.
All Rights Reserved.