กระแสการทำธุรกิจนั้น เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วตามยุคตามสมัยจริงไหมครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ยุคอินเทอร์เน็ต ช่องทางการตลาดหรือการทำธุรกิจก็เปิดกว้างยิ่งกว่าเดิม หนึ่งในนั้นก็คือการทำเว็บไซต์ขายของ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อของการทำเว็บไซต์ E-commerce นั่นเอง
เจ้าของธุรกิจหรือเจ้าของแบรนด์หลาย ๆ คน อาจมองว่า การขายผ่านเพจ Facebook คือ ช่องทางที่สะดวก รวดเร็ว และง่ายที่สุด แต่ความจริงแล้ว ถ้าหากมองในอีกมุมว่า ถ้าวันหนึ่ง Facebook ปิดตัวลงล่ะ ร้านของเราจะเป็นอย่างไร หรือถ้าเรามีคอนเทนท์ดี ๆ สาระความรู้แน่น ๆ การโพสท์ลง Facebook ก็อาจอยู่บน Feed ได้ไม่นาน เพราะก็จะถูกโพสอื่นๆ ที่เป็นอัพเดตกว่ามาแทน
เพราะความไม่แน่นอนนี่เอง ที่ทำให้เจ้าของธุรกิจบางคนไหวตัวทัน และเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการทำเว็บไซต์ขายของ (E-commerce) มากขึ้น เพราะสามารถบริหารจัดการข้อมูลบนหน้าเว็บได้ด้วยตัวเอง สามารถแบ็คอัพหรือทำการสำรองข้อมูลไว้ได้เป็นระยะ เมื่อเกิดปัญหาอะไรก็ตาม ก็หมดห่วงว่าหน้าเว็บจะหายไป นอกจากนี้ในระยะยาว ที่สำคัญการทำ SEO บนเว็บไซต์ขายของออนไลน์ยังมั่นคงกว่าอีกด้วยครับ
1. หน้าเว็บไซต์ E-commerce ก็เปรียบเหมือนหน้าตาของร้านค้า
ยิ่งทำเว็บไซต์ได้สวยสะดุดตา กราฟิกและรูปภาพน่ามอง เหมาะสมกับสไตล์ธุรกิจ ก็จะยิ่งช่วยสร้างความประทับใจและความน่าเชื่อถือให้ธุรกิจมากยิ่งขึ้นครับ นอกจากนี้การเพิ่มเติมรายละเอียดบนหน้าเว็บไซต์ให้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นชื่อแบรนด์ สโลแกน ข้อมูลแบรนด์ ข้อมูลสินค้า ฯลฯ ก็จะยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือแก่ลูกค้า และทำให้แบรนด์ธุรกิจของเราดูจับต้องได้ มีตัวตนจริง ช่วยเพิ่มอัตราการเปลี่ยนจากผู้เข้าชมให้กลายเป็นลูกค้าให้สูงขึ้นได้
ความสะดวกสบายและใช้งานง่าย คือ หัวใจสำคัญของการทำเว็บไซต์ขายของครับ เพราะการที่จะโน้มน้าวให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์กดสั่งซื้อสินค้า นั้น จะต้องทำช่องทางต่าง ๆ ให้สะดวก เช่น ปุ่มสั่งซื้อ มีสีสันสดใสที่มองเห็นชัดเจน ปุ่มสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่คลิกง่าย ราคาที่เด่นชัด รูปภาพสินค้าสวย รวมถึงช่องทางการชำระเงินที่น่าเชื่อถือ
นอกจากนี้บางคนอาจเพิ่มเติมวิธีการสั่งซื้อและชำระเงินเข้ามาบนเว็บไซต์ด้วย สิ่งเหล่านี้จะช่วยทำให้คนที่เข้ามาบนเว็บของเรารู้ว่าเขาต้องกดคลิกตรงไหนหากต้องการสินค้า ความง่ายและสะดวกจึงเป็นคำตอบของการเพิ่มยอดสั่งซื้อบนเว็บไซต์ขายของครับ
เมื่อเริ่มต้นทำเว็บไซต์ขายของ ควรศึกษาการทำ SEO เบื้องต้นควบคู่กันไปด้วยจะดีที่สุดครับ เพราะ SEO เป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้ร้านค้า สามารถสู้กับคู่แข่งที่เปิดร้านค้าออนไลน์ประเภทเดียวกันได้ เพราะลูกค้าจะสามารถหาร้านออนไลน์ของเราเจอได้ง่ายกว่า หากเรามีการทำ SEO ที่ดีจนสามารถติดอันดับการค้นหาหน้าแรกของ Google
ซึ่งปัจจุบันนี้มีผู้รับทำเว็บไซต์เกิดขึ้นมากมายครับ ถ้าเกิดว่าเจ้าของธุรกิจไม่มีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรม หรือต่อให้มีการสร้างเว็บไซต์แบบสำเร็จรูปอย่าง Worldpress ซึ่งก็ต้องใช้เวลาในการศึกษาพอสมควร
ดังนั้น ทางเลือกที่จะจ้างทำเว็บไซต์ก็คือว่าน่าสนใจทีเดียว โดนมีทั้งเป็นแบบ Freelance หรือบริษัทฃการเลือกผู้ให้บริการย่อมเป็นปัจจัยหลักของการสร้างเว็บไซต์ด้วยครับ ก่อนที่เราจะสร้างเว็บไซต์ ต้องมาเตรียมความพร้อมของธุรกิจก่อนครับว่า สิ่งที่ต้องการมีอะไรบ้าง สร้างเว็บไซต์แบบไหนถึงจะตอบโจทย์ โดยเริ่มต้นที่
เมื่อเตรียมข้อมูลทั้งหมดนี้พร้อมแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็หาผู้จัดทำครับ หากจ้างเป็นบริษัทราคาจะสูงหน่อยแล้วแต่บริษัทต่างๆ ตามต้นทุนการทำงานครับ รวมไปถึงการออกแบบ และเขียนโปรแกรมครับ ซึ่งราคาก็จะอยู่ที่หลักหมื่นไปจนถึงหลักแสนครับ แต่ข้อดีก็ คือ มีการทำงานที่เป็นระบบแบบแผน และมีความน่าเชื่อถือครับ
หรือถ้าสนใจเป็น Freelance ผมแนะนำให้ใช้เวลาในการพูดคุย และดูตัวอย่างผลงานครับ เพราะ Freelance ก็จะมีจุดเด่นที่ต่างกันแต่ละคนไป ซึ่งควรจะทำสัญญาจ้างให้เรียบร้อย และข้อดี คือ มีราคาที่ไม่สูงนักเมื่อเทียบกับบริษัทครับ
1. ใช้เว็บสำเร็จรูปที่มีให้ใช้บริการ ส่วนราคาก็จะมีตั้งแต่ฟรี เช่น Wordpress ครับ เป็นเว็บไซต์ที่มีผู้ใช้งานทั่วโลกและมีข้อมูลให้ศึกษาเพิ่มเยอะมากตามช่องทางต่าง ๆ เดี๋ยวนี้มีเยอะมากครับ ไปจนถึงเสียเงินหลักพัน หลักหมื่นต่อปี เว็บไซค์สำเร็จรูป จะเหมาะสำหรับผู้ที่กำลังเริ่มต้นขายสินค้าบนโลกออนไลน์ เพราะสามารถทำแบบฟรี หรือแบบเสียเงินที่จ่ายรายปีที่ไม่แพง
ข้อดี
ข้อเสีย
2. ใช้ CMS ทำขึ้นมา ซึ่งปัจจุบันมีคู่มือและ CMS เกิดขึ้นมากมายครับ แต่เหมาะสำหรับผู้ที่พอมีพื้นฐานในการทำเว็บไซต์ระดับหนึ่ง หรือคนที่มีความชื่นชอบในโปรแกรมหรือเว็บไซต์ การทำ CMS จะเริ่มไกล้ชิดกับ การเขียน Codeing มากขึ้นครับ หรือถ้าใครไม่อยากศึกษาเองก็สามารถจ้างบริษัทหรือฟรีแลนซ์ได้ครับ
ข้อดี
ข้อเสีย
3. จัดทำเว็บไซต์ใหม่ทั้งหมด สำหรับส่วนนี้เหมาะสำหรับเจ้าของธุรกิจที่มีต้นทุน และต้องการเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ ส่งเสริมทั้งภาพลักษณ์ของบริษัทหรือตัวแบรนด์สินค้า จัดทำออกมาให้ดูน่าเชื่อถือและใช้งานได้ง่ายด้วยครับ
ข้อดี
ข้อเสีย
จะเห็นว่านะครับว่า การสร้างเว็บไซต์ E-Commerce ขึ้นมาซักเว็บ ประกอบด้วยองค์ประกอบมากมาย ถ้าหากอยากเริ่มต้น ทำเว็บไซต์ E-Commerce แล้วละก็ เจ้าของธุรกิจจะต้องเตรียมตัวให้พร้อม ทั้งข้อมูลบริษัท ข้อมูลสินค้า/บริการ งบประมาณในการทำเว็บไซต์ และวางแผนเว็บไซต์ให้เข้าถึงง่ายด้วยครับ
เพราะฉะนั้นแล้วการทำเว็บไซต์เป็นของตัวเอง จะช่วยเสริมยอดขายให้กับธุรกิจได้อย่างแน่นอนครับ ถ้าหากเพิ่มการทำการตลาดออนไลน์เพิ่มด้วยแล้วล่ะก็ ก็จะทำให้ธุรกิจของเราแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเลยนะครับผมแนะนำ
บทความแนะนำ