การมีเว็บไซต์ในยุคดิจิตอลแบบนี้ ก็เปรียบเสมือนว่าธุรกิจของเราพื้นที่เป็นของตัวเอง ซึ่งสามารถควบคุมดูแล ปรับเปลี่ยนภายในได้ตามความต้องการของเจ้าของธุรกิจ โดยจะแตกต่างกับการใช้ Social Medias ที่เปรียบเสมือนการเช่าที่อยู่ของผู้อื่น หากโดนออกกฏอะไรมาก็ต้องทำตามจริงไหมครับ อย่าง Facebook ที่มักจะมีอัพเดตเสมอ เช่น Facebook ที่ได้มีการอัพเดตข้อมูล Algorithm ทำให้การทำโฆษณายากขึ้น อย่างการลด Reach ข้อจำกัดในการเห็นโฆษณาของผู้ใช้งาน เท่ากับว่า เหล่านักธุรกิจออนไลน์ก็จะลำบากขึ้นในการโปรโมทสินค้าของเรา
จุดเด่นของการมีเว็บไซต์ คือ เพิ่มช่องทางให้ลูกค้ฃเข้าถึงธุรกิจได้แล้วนั้น เจ้าของธุรกิจยังสามารถเก็บรวบรวมข้อมูล และสามารถวิเคราะห์ออกมาเป็น Data base ของบริษัทได้ด้วยครับ เพื่อที่จะนำข้อมูลนั้นมาใช้ทำการตลาดได้ เช่น สามารถนำ Traffic มาใช้ทำ Digital Marketing ได้หลากหลายรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่น นำข้อมูลของผู้ใช้งานที่เคยเข้าเว็บไซต์ในรอบ 1 ปี หรือ ข้อมูลผู้ใช้งานที่เคยซื้อสินค้าในเว็บไซต์ มาใช้ใน การทำ Remarketing กลับไปขายสินค้าได้อีกครั้ง ซึ่งถ้าหากคิดดี ๆ แล้ว ก็สามารถนำข้อมูลมาใช้พลิกแพลงได้อีกหลากหลายรูปแบบ ตามเทคนิคและวิธีการ นอกจากนี้ากเว็บไซต์มีจำนวนคนที่เข้ามาที่มากในแต่ละเดือนก็อาจจะใช้เป็นพื้นที่เป็นโฆษณาเพิ่มได้อีกด้วยครับ
ทั้งหมดนี้เป็นขั้นตอนการสร้างเว็บไซต์เบื้องต้นเท่านั้นนะครับ การทำเว็บไซต์ในปัจจุบัน มีผู้ให้บริการมากมาย เช่น WordPress.com, Shopify, Wix, Squarespace, Weebly, Makewebeasy, Velaeasy, Inwshop หรือ Bentoweb เป็นแบบที่เป็นเว็บไซต์สำเร็จรูป และเว็บไซต์แบบ Custom made ที่ทำขึ้นเฉพาะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะธุรกิจนั้น ๆ
1. Website Design
การสร้างเว็บไซต์สิ่งสำคัญอยู่ที่การออกแบบเว็บไซต์ครับ เพราะเว็บไซต์ที่มีรูปแบบสวยงาม จะสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้ดีกว่า ทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกประทับใจ อยากกลับมาใช้งานเว็บไซต์อีกครั้งในอนาคต โดยหลัก ๆ ของการออกแบบเว็บไซต์ คือ การกำหนดสี ตัวอักษร การเลือกรูปภาพ การจัดวาง เป็นต้น
2. ด้านระยะเวลาในการจัดทำ
การสร้างเว็บไซต์ต้องใช้เวลาในการทำตามขั้นตอนตามลำดับ ตามที่ผมได้อธิบายไปข้างต้น ดังนั้น ระยะเวลาเฉลี่ยในการทำอยู่ที่ 15-45 วันขึ้นอยู่กับรายละเอียดข้อมูลในเว็บไซต์ ถือว่าเป็นการทำงานที่ต้องอาศัยความเข้าใจและความอดทนครับ เพราะโอกาสผิดพลาดมีสูง เช่น พบ Error ในระบบ เป็นต้น
3. ด้านการลงข้อมูล
เว็บไซต์ที่ดีและมีคุณภาพจะต้องมีการจัดหมวดหมู่ข้อมูลภายเว็บไซต์ให้เป็นระเบียบ ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกสบายและความรวดเร็วของผู้ใช้งานที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์
4. ด้านการปรับแต่งเว็บไซต์
การทำเว็บไซต์ไม่ใช่แค่เพียงการสร้างแหล่งค้นหาข้อมูล แต่การทำเว็บไซต์จำเป็นต้องคำนึงถึงองค์ประกอบในหลายๆ ด้าน อย่างการ ปรับแต่งเว็บไซต์ ที่สามารถทำให้เว็บไซต์ของคุณ น่าเข้าใช้งานและมีโอกาสช่วยเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมให้มากขึ้น
5. ด้านระบบเว็บไซต์
การพัฒนาตัวระบบจัดการเว็บไซต์ โดยต้องใช้ความรู้ด้าน Programming ครับ ซึ่งในการพัฒนาระบบ หรือเขียนโค้ดขึ้นมา ภาษาที่ใช้ในการ Programming ก็มีด้วยกันหลายภาษา เช่น HTML, XHTML, XML, JavaScript/Jscript, ASP.NET, PHP
6. ด้านระบบรักษาความปลอดภัย
เว็บไซต์ที่จัดทำขึ้นสำหรับการธุรกิจออนไลน์ แน่นอนครับว่าจะต้องมีการขอข้อมูล/กรอกข้อมูลส่วนตัวที่เป็นความลับจากผู้ใช้ เช่น พวก Username, Password หรือหมายเลขบัตรเครดิต เพื่อความปลอดภัยทางข้อมูล เว็บไซต์จะต้องมีระบบป้องกันการรั่วไหลหรือการโดนแฮ็คครับ ไม่อย่างงั้นแล้วจะเกิดผลเสียตามมาอย่างหนักหากโดนขโมยข้อมูลไป
7. ด้านการรองรับการจัดอันดับ SEO
การทำ SEO คือ ทำเว็บไซต์ให้ตรงตามเกณฑ์การให้คะแนนของ ทาง Google ให้มากที่สุดเพื่อทำให้เว็บไซต์ถูกแสดงผลในหน้าแรก ๆ ซึ่งจะส่งผลทำให้ผู้ใช้งานมองเห็นเว็บไซต์ของเราก่อน โอกาสที่ผู้ใช้งานจะกลายมาเป็นลูกค้าก็ไม่ใช่เรื่องยากครับ ซึ่งปัจจัยที่จะทำให้ทาง Google ให้คะแนนเราสูง ๆ ก็มีด้วยกันหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการออกแบบ การใช้งาน ข้อมูล รูปภาพ เป็นต้นครับ
8. ด้านความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์
Page Speed คือ คะแนนการดาวน์โหลดของเว็บไซต์ โดย Google จะเป็นคนกำหนดครับ ซึ่งปัจจัยทั้ง 3 ปัจจัย คือ Request , Page size, Loading time หากเว็บไซต์ของเราดาวน์โหลดเร็ว ก็จะทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกดีและอยากอยู่ในเว็บไซตจ์เราได้นานขึ้น สามารถลองตรวจสอบความเร็วเว็บไซต์ได้จาก ที่นี้ เลยนะครับ
เป็นอย่างไรบ้างครับ กับการเปรียบเทียบ ข้อแตกต่างระหว่างการทำเว็บไซต์ระหว่าง Custom made และแบบสำเร็จรูป ซึ่งถึงแม้ว่า การจ้างพัฒนาเว็บไซต์โดยเฉพาะ จะมีค่าบริการที่ราคาสูงกว่าแบบเว็บไซต์สำเร็จรูปอยู่หลายเท่า แต่ก็ต้องคำนึงถึงผลดีที่ได้รับตามมา
ดังนั้น เจ้าของธุรกิจออนไลน์ที่ต้องการมีเว็บไซต์ ต้องศึกษารายละเอียดให้ถี่ถ้วนว่าในระยะยาวแบบใดที่เหมาะสมกับธุรกิจของตนเองมากกว่าครับ เพราะเว็บไซต์จำเป็นต้องอยู่คู่กับธุรกิจเราไปอีกนาน และหากเว็บไซต์ไม่ได้มีการพัฒนาโครงสร้าง ปล่อยให้เหมือนเดิมไม่อัพเดตข้อมูล ก็จะทำให้ส่งผลเสียทั้งเสียเวลาและเสียค่าใช้จ่ายโดยใช่เหตุ
บทความแนะนำ